‘หัวกะทิ’ และ ‘หางกะทิ’ สองวัตถุดิบสำคัญที่ขาดไม่ได้ของอาหารไทย หลายคนคุ้นหูแต่อาจไม่รู้ว่าถึงจะเป็นกะทิเหมือนกัน แต่หัวกะทิและหางกะทิไม่เหมือนกันซะทีเดียว สังเกตอย่างไร? ต่างกันตรงไหน? ใช้ประโยชน์ต่างกันไหม? อยากรู้ให้เคลียร์ ตามมาดูกันเลย

หัวกะทิ คือ น้ำกะทิที่ได้จากการคั้นเนื้อมะพร้าวครั้งแรก ผสมน้ำอุ่นลงไปแค่ ¼ ของเนื้อมะพร้าว หัวกะทิจึงมีลักษณะเหนียวเข้มข้น หอมมันที่สุด จึงมีสำนวน “หัวกะทิ” แทนความเป็นที่สุดนั่นเอง

หัวกะทิเป็นส่วนผสมของทั้งเมนูคาวและหวาน มักถูกใช้ในเมนูที่ต้องการกะทิแตกมันเข้มข้น ใช้ในการผัดเครื่องแกง เช่น ฉูฉี่ ห่อหมก แกงพะแนง ราดเมนูยำเพื่อเพิ่มรสกลมกล่อม หรือใช้หมักเนื้อสัตว์อย่างเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ให้เนื้อนุ่ม หอมอร่อยมากขึ้นอีก  แต่เมนูที่นิยมใช้หัวกะทิเป็นส่วนผสมที่สุดคงจะเป็นขนมหวานต่างๆ ที่ต้องการหัวกะทิเข้มข้นมาเติมความหอมมัน อย่างเช่น บัวลอย ลอดช่อง ขนมถ้วย ขนมครก กล้วยบวชชี หรือใช้หัวกะทิหยอดหน้าเมนูหวาน จำพวกสาคูเปียก ขนมเปียกปูนกะทิสด มันเชื่อม กล้วยเชื่อม และข้าวเหนียวมะม่วง เป็นต้น

            หางกะทิ ตามหัวกะทิมาติดๆ ในการคั้นมะพร้าวรอบที่ 2-3 มีส่วนผสมของน้ำมากกว่าหัวกะทิ ประมาณ 1-2 ส่วนของเนื้อมะพร้าว ทำให้หางกะทิมีความเข้มข้นน้อยลงเรื่อยๆ ตามรอบที่คั้น สังเกตได้ว่าถ้าสีของน้ำกะทิที่คั้นออกมาเป็นสีขาวใสแสดงว่ากะทิหมดแล้ว 

หางกะทิมักใช้กับเมนูอาหารที่ไม่ต้องการความเข้มข้นของกะทิมาก ใช้เคี่ยวแกงกะทิ เช่น แกงเขียวหวาน ต้มข่าไข่ แกงคั่ว หรือใช้รวนเนื้อสัตว์ให้เนื้อนุ่ม เพิ่มความหอมอร่อย

ถ้าเปรียบเทียบกะทิคั้นสดกับกะทิแท้ 100% รูปแบบกล่อง UHT หัวกะทิ คือ กะทิเพียวๆ ที่เพิ่งเทออกมาจากกล่อง มีความเข้มข้นสูง หอมมันพร้อมใช้ปรุงทุกเมนูกะทิ แต่ถ้าผสมน้ำเปล่า 1 ต่อ 1 ส่วน จะได้หางกะทิที่มีความเข้มข้นพอดี เลือกใช้กะทิแท้ 100% คั้นจากเนื้อมะพร้าวคุณภาพเยี่ยม เพิ่มความหอมมันให้ทุกจานโปรด เลือกกะทิชาวเกาะ รูปแบบกล่อง UHT (link)